วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555



      กระผมคิดว่าจะไม่เขียนถึงกรณีนี้ เพราะเห็นว่าไม่มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกรณีในเรื่องปัญหา ปาเลสไตน์ หรือการก่อการร้อยการเมืองและเหตุการณ์ในปัจจุบันที่อิสลามเข้าไปเกี่ยวข้อง  และยากที่จะเขียนออกมาออกมาแล้วจะไม่ถูกมองไปในแง่มุมต่างๆ  แต่เรื่องนี้ก็มีคนกล่าวถึงบ่อยๆในกรณีต่างๆบางทีก็ในแง่สนุก หรืออย่างอื่น แต่ประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ของท่านก็มีจริง          
                        "ท่านนบีมุฮัมหมัด ซ.ล. มีภรรยาหลายคนอันเป็นไปตามคำบัญชาของอัลเลาะฮ์ มิได้เกิดจากความมักมากทางกามรมณ์ หรือมีตัณหาราคะรุนแรงแต่อย่างใด ทั้งนี้ด้วยเหตุสองประการคือ
                           1 ภาวะการมีภรรยาหลายคนของท่านนบีปรากฏขึ้น หลังจากที่ท่านบรรลุวัยชราแล้ว คือ ท่านอายุเข้าวัย 50 ปี
                           2 บรรดาภรรยาทั้งหมดของท่าน เป็นหญิงหม้าย มีอายุล่วงเข้าสู่วัยชราเช่นเดียวกัน ท่านมีภรรยาที่เป็นสาวโสดเพียงท่านเดียว คือ นาง อาอิชะฮ์ รฎิยัลลอฮุอันฮา
                            ดังนั้นการที่มีผูใส่ใคล้ว่า ท่านนบีแต่งงานเนื่องจากมีตัณหาราคะสูง หรือต้องการสนุกสนานในทางเพศจึงไม่เป็นจริงแต่อย่างใด ภรรยาของท่านนบีได้แก่
                            นางคอดีะฮ์ บินตุวัยลิด เป็นภรรยาคนแรกของท่านนบี ก่อนหน้าที่นางจะแต่งงานกับท่านนบี นางได้แต่งงานกับ ซะอด์ นางคอดีญะฮ์ มีบุตรกับ ซุอด์ 1 คน ต่อมาได้ถึงแก่กรรม.....ขณะแต่งงานท่านนบีอายุ 25 ปี นางคอดีญะฮ์ อายุ 40 ปี ท่านนบีอยู่กินกับนางเป็นเวลา  25 ปี ระหว่างที่นางมีชีวิตอยู่ ท่านนบีมิได้แต่งงานใหม่กับหญิงใดเลย  จนกระทั่งนางถึงแก่กรรมขณะอายุได้ 65 ปี ท่านนบีอายุ 50 ปี
                       นาง อาอิชะฮ์ ฯ นางเป็นภรรยที่เป็นสาวโสดคนเดียวของท่านนบี    (หลังจากที่นางคอดีญะฮ์จากไป)
                        นางรอมละฮ์ บินตะ อบีซุฟยาน ......ก่อนหน้านั้นนางแต่งงานกับอับดุลเลาะฮ์ อิบนิญะฮซ์ ทั้งสองได้อพยพไปเอธิโอเปีย และอับดุลเลาะฮ์ ได้เข้ารีตเป็นคริสเตียน และได้ถึงแก่กรรมลง ส่วนนางปฏิเสธที่จะนับถือศาสนาคริสต์ และยืนยันในการนับถืออิสลาม ท่านนบีจึงได้แต่งงานกับนาง
                      นางมารียะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ซึ่ง มุเกากิส กษัตริย์อียิป์ ได้มอบให้เป็นของขวัญ
                 .............บุตรของท่านนบีมี 7 คน ถึงแก่กรรมก่อนท่าน นอกจาก ฟาติมะฮ์ ซึ่งถึงแก่กรรมหลังจากที่ท่านนบีถึงแก่กรรมได้ 6 เดือน
                         (ชีวประวัติ นบีมุฮัมหมัด ซ.ล. โดย มุนีร(สมศักดิ์) มูหะหมัด น. 173-178)
                          เหตุผลบางประการที่ฉันอยากเสริมคือ ผู้หญิงอาหรับแต่ก่อนนั้นจะมีความลำบากมาก หากสามีของนางตาย และนางไม่มีใครคอยปกป้องดูแลนางและลูกๆ  บางเงื่อนไขการแต่งงานก็เป็นเรื่องการเมือง ก็เหมือนกับกษัตริย์โบราณเจริญไมตรีกันเหลือบๆมองดูรอบๆตัวเราซิ มีประวัติศาสตร์ทำนองนี้มากมาย และอันที่จริงท่านนบีในเวลานั้นก็ไม่ต่างจากกษัตริย์แห่งอารเบียหรอก เพราะท่านคือผู้รวบรวมชนเผ่าอาหรับแห่งแหลมอารเบียทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทั้งที่ไม่เคยมีการรวมกันมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ 
                      และนี่คือประวัติ ของศาสนทูตมูฮัมหมัด ศาสนทูตที่มุสลิมเชื่อว่าเป็นศาสนทูตองค์สุดท้านของโลกที่พระเจ้าส่งมา แบบย่อๆแล้วนะ  ท่านคือผู้ที่นำคัมภีร์ที่มุสลิมเชื่อตามที่ท่านว่า เป็นดำรัสของพระเจ้าทั้งหมดทุกโองการมาสู่มนุษย์ เป็นคัมภีร์ที่ตั้งใจทำและเรียบเรียงเสร็จตั้งแต่ในยุคของท่านศาสดา แม้ยังไม่มีกระดาษหรือระบบการพิมพ์ก็ตาม 
                     เป็นคัมภีร์ที่ตกทอดรักษาและอ่านด้วยภาษาเดิม ซึ่งมุสลิมยึดถือมิให้คงรูปแบบทุกถ้อยคำไม่ให้เปลี่ยนแปลง  ฉันจะนำคัมภีร์นี้มาใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงในลำดับต่อไป  และเมื่อถึงตอนนั้นจะได้หมดประเด็นที่ว่า ใครนำคัมภีร์นี้มา และตกทอดมาสู่เราได้อย่างไร   ฉบับนี้ฉันขอจบตรงนี้นะ ฉบับหน้าเราจะพูดเรื่องใหม่กัน  ในประเด็นของคัมภีร์
                             ขอพระเจ้าทรงเมตตา
ภาพกรุงเยรูซาเลมในสงครามครูเสดครั้งแรก



















สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ในสภาแห่งเคลียมอนท์ประกาศให้แย่งชิงแดนศักดิสิทธิ์คืน
 
ภาพวาดซาลาดินจากหนังสืออาหรับในศตวรรษที่ 12











สงครามครูเสด (อังกฤษ: The Crusades; อาหรับ: الحروب الصليبية ; อัลฮุรูบ อัศศอลีบียะหฺ/ หรือ الحملات الصليبية /อัลฮัมลาต อัศศอลีบียะหฺ‎ แปลว่า สงครามไม้กางเขน) คือ สงครามระหว่างศาสนา ซึ่งอาจหมายถึงสงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายด้วยกันเอง หรือชาวคริสต์กับผู้นับถือศาสนาอื่นก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่มักหมายถึงสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13
สงครามครูเสด เป็นสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป และ ชาวมุสลิม เนื่องจากชาวคริสต์ต้องการยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และ เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมเป็นของอาณาจักรโรมอยู่ก่อนแล้วที่กองทัพอิสลามจะเข้ามาที่นี้
ในตอนเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมได้เข้าปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ เนื่องมาจากโซยุเตริก(น่าจะชื่อคอลีฟหะหุในภาษาอิสลาม) ผู้นำโลกอิสลามได้เข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเป็นยุคของคอลีฟะหฺอุมัร (634-44) ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและการเมืองของอาณาจักรอิสลามที่เป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และ คริสต์ ในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้คือ ประเทศอิสราเอล
ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เบธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมืองโดยเฉพาะการครอบครองเยรูซาเร็มที่เชื่อกันว่าศูนย์กลางของโลกใบนี้ ซึ่งเยรูซาเร็มเมื่อดูในแผ่นที่โลกจะอยู่ใจกลางโลกพอดี[ต้องการอ้างอิง] และเยรูซาเร็มนี้ได้ชื่อว่าพระเจ้าได้มอบที่นี้ไว้ให้มนุษย์ได้พบพระองค์(ถูกบันทึกในคำภีร์ทางศาสนาของยูดาย คริสต์ และอิสลาม) ที่พระเจ้าให้กษัตริย์โซโลมอนได้สร้างมหาวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้าอย่างยิ่งใหญ่บนแผ่นดินที่ได้เชื่อกันว่ายาโคบ ต้นตระกูลยิวได้นอนลงที่นี้และนิมิตนั้นคือ เห็นบันไดสวรรค์และการขึ้นลงของทูตสวรรค์
ซึ่งทุกวันนี้มหาวิหารได้ถูกทำลายไปในยุคของโรมปี ค.ศ. 70 และต่อมาอิสลามได้สร้างสุหร่าอัลซัลซอร์บนมหาวิหารเดิมของโซโลมอนหรือของชาวยิว และข้อพิพากนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้จนกลายเป็นปัญหาภูมิภาคตะวันออกกลาง และชาวยิวทุกวันนี้ก็พยายามทุกทางที่จะสร้างมหาวิหารนี้ได้อีกครั้งเพราะตนเองไม่มีสถานที่นมัสการเพราะที่เหลือไว้คือกำแพงด้านตะวันตกของมหาวิหาร หรือที่เรียกว่ากำแพงร้องไห้ ซึ่งชาวคริสเตียนกลุ่มโปเตสแตนท์เชื่อกันว่าถ้าหากชาวยิวจะรื้อวิหารของมุสลิมอัลซัลซอล์ และสร้างมหาวิหารได้อีกครั้ง วันนั้นเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง และจะเป็นวันสิ้นโลกใบนี้

เนื้อหา

สงครามครูเสดแต่ละครั้ง

มีสงครามครูเสดเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ครั้งที่สำคัญที่ใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึง 13 ซึ่งมีสงครามใหญ่ๆเกิดขึ้นถึง 9 ครั้งในมหาสงครามครั้งนี้และยังมีสงครามย่อยๆเกิดอีกหลายครั้งในระหว่างนั้น สงครามบางครั้งก็เกิดขึ้นภายในยุโรปเอง เช่น ที่สเปน และมีสงครามย่อยๆเกิดขึ้นตลอดศตวรรษที่ 16 จนถึงยุค Renaissance และเกิด Reformation

สงครามครูเสดครั้งที่ 1 พ.ศ. 1638-1644 (ค.ศ. 1095-1101)

ดูบทความหลักที่ สงครามครูเสดครั้งที่ 1

สมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ในสภาแห่งเคลียมอนท์ประกาศให้แย่งชิงแดนศักดิสิทธิ์คืน
เริ่มต้นเมื่อปี 1095 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 (Urban II) แห่งกรุงโรม รวบรวมกองทัพชาวคริสต์ไปยังกรุงเยรูซาเลม ช่วงแรกกองทัพของปีเตอร์ นักพรต(Peter the Hermit) นำล่วงหน้ากองทัพใหญ่ไปก่อน ส่วนกองทัพหลักมีประมาณ 50,000 คนซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศฝรั่งเศส นำโดย โรเบิร์ต เคอร์โทส ดยุคแห่งนอร์มังดีโอรสของสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ
ในที่สุดเมื่อปี 1099 กองทัพก็เดินทางจากแอนติออคมาถึงกำแพงเมือง และยึดฐานที่มั่นใกล้กำแพงเข้าปิดล้อมเยรูซาเลมไว้ กองกำลังมุสลิมที่ได้รับการขนานนามว่า ซาระเซ็น ได้ต่อสู้ด้วยความเข้มแข็ง ทว่าท้ายที่สุดนักรบครูเสดก็บุกฝ่าเข้าไป และฆ่าล้างทุกคนที่ไม่ใช่ชาวคริสต์กระทั่งชาวมุสลิมในเมืองหรือชาวยิวในสถานที่ทางศาสนาก็ล้วนถูกฆ่าจนหมด เหลือเพียงผู้ปกครองเดิมในขณะนั้นซึ่งได้รับอนุญาตให้ออกไปได้ แต่ทว่าข่าวการรบนั้นไม่อาจไปถึงพระสันตะปาปา เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์ในอีกไม่กี่วันถัดมา
ผู้นำเหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับเลือกคือ ก็อดฟรีย์ แห่ง บูวียอง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งนานหนึ่งปีจึงเสียชีวิต เดือนกรกฎาคมปี 1100 บอลด์วินจากเอเดสซาจึงขึ้นสืบเป็นกษัตริย์ พระองค์อภิเษกกับเจ้าหญิงอาร์เมเนีย แต่ไร้รัชทายาท พระองค์สวรรคตในปี 1118 ผู้เป็นราชนัดดานามบอลด์วินจึงครองราชย์เป็นกษัตริย์บอลด์วินที่ 2 แห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ มีราชธิดา 3 พระองค์ และที่น่าสนใจคือครั้งนี้บัลลังก์สืบทอดทางธิดาองค์โตหรือมเหสี และพระสวามีจะครองราชย์แทนกษัตริย์องค์ก่อน
สงครามครูเสดมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างทางความเชื่อในศาสนาแต่ละศาสนา จนทำให้ไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้เริ่มต้นคือชาวมุสลิมต้องการครอบครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คือ กรุงเยรูซาเลม นอกจากนั้นเหตุผลทางการเมืองก็เป็นอีกสาเหตุของสงครามด้วย เพราะในสมัยนั้นเศรษฐกิจในยุโรบตกต่ำ บิช๊อปผู้นำศาสนาในโรมันคาทอลิกเรืองอำนาจมาก และมีอำนาจเหนือกษัตริย์ และครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ขนาดมีความเชื่อในตอนนั้นว่า ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ทุกคนอยากให้บุตรชายของตนเป็นนักบวชเพื่อจะเป็นบิช๊อบ หรือโบ๊ป ผู้นำศาสนา
สงครามครูเสดได้คร่าชีวิตและทรัพย์สินของมนุษยชาติอย่างมากมายมหาศาล เพราะบิช๊อบอ้างว่าเขาสามารถล้างบาปให้กับนักรบครูเสดได้ และอนุญาตให้ปล้น ฆ่า ยึดทรัพย์พวกนอกศาสนาได้ ซึ่งหลัการนี้ไม่มีในพระคำภีร์ไบเบิ้ล อีกทั้งขุนนางในสมัยนั้นต้องการยึดทรัพย์สินของพวกยิวที่ร่ำรวย และต้องการมีอิทธิพลในยุโรบไปจนถึงตะวันออกกลางจึงใช้ข้ออ้างของศาสนามาอ้างในการทำสงครามครั้งนี้
ผลของสงครามครูเสดนี้ฆ่าคนไปจำนวนมากมายนับจากยิวในยุโรบไปจนถึงยิวในเยรูซาเร็ม และทำให้ชาวมุสลิมและคริสเตียนบาดหมางกันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองศาสนา แม้ทั้งสองจะมีความต่างกันแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในดินแดนแถบนั้น และสงครามครูเสดทำให้ความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ผลของสงครามครูเสดนั้น ทำให้ยุโรปเกิดความเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทำให้เกิดการติดต่อระหว่าง โลกตะวันตกและตะวันออก ในรูปแบบการทำการค้า ซึ่งเรียกว่า ยุคปฏิรูปการค้า และ ทำให้เกิดยุค ฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ การการสร้างสถาปตยกรรมที่รวมกันของสองศาสนา ตลอดจนความรู้ การศึกษาขึ้นมาด้วย

สงครามครูเสดครั้งที่ 2 (1147–1149)

ดูบทความหลักที่ สงครามครูเสดครั้งที่ 2
ลัทธิศักดินา (Feudalism) ที่พวกครูเสดนำมาใช้ในเอเชียน้อย (Asia Minor )นี้ได้ระบาดในหมู่พวกมุสลิมเช่นกัน พวกมุสลิมชนชาติต่าง ๆ ในตะวันออกกลางต่างก็แก่งแย่งถืออำนาจกัน แตกออกเป็นหลายนคร
อิมาดุดดีน ซังกี (Imaduddin Zangi) ผู้เป็นบุตรคนหนึ่งของ อัก สุนกูร อัลฮาญิบ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองฮะลับ หรืองอเลปโป (ภาษาละติน: Aleppo) ภายใต้อาณาจักรของ มะลิกซาห์ ใน ค.ศ. 1127 ได้เป็นอะตาเบก (เจ้านคร) แห่งโมสุล และต่อมา 1128 ก็ได้รวบรวมอเลปโปเข้าอยู่ใต้อำนาจของตน โดยเข้าข้างกษัตริย์แห่งสัลญูก ซึ่งกำลังแย่งชิงเขตแดนต่าง ๆ ของอาณาจักรอับบาสียะหฺ ในปี ค.ศ. 1135 เขาพยายามตีนครดามัสคัส เมื่อรวบรวมให้อยู่ใต้อำนาจ แต่ก็ไม่สำเร็จ ระหว่างทางที่ถอยทัพกลับไปอเลปโป ก็ได้เข้าตีนครฮิมสฺ เพื่อยึดมาเป็นของตน แต่ตีไม่สำเร็จ สองปีต่อมา ซังกีย้อนกลับมาตีนครฮิมสฺอีกครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จอีกเช่นกัน ทางนครดามัสคัสเมื่อกลัวว่าซังกีจะยกทัพมาประชิตเมืองอีกครั้ง ก็ได้ผูกสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรเยรูซาเลมของพวกครูเสด
ซังกียกทัพไปตีพวกครูเสด จนเกิดปะทะกันที่บารีน ฟูล์ก เจ้าราชอาณาจักรเยรูซาเลมพ่ายแพ้ พากองทัพที่รอดตายหนีออกจากนครเยรูซาเลม ซังกีได้ผูกสัมพันธไมตรีกับนครดามัสคัส เมื่อเห็นว่าตนไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะได้ ประกอบกับได้ข่าวว่า จักรพรรดิยอห์น คอมเนนุส (John Comnenus) ได้ยึดเอานครอันติออก ที่พวกครูเสดปกครองอยู่นั้น เข้ามาอยู่ในอาณาจักรไบแซนไทน์ และได้ส่งกองทัพมาประชิตเมืองอเลปโปของตน
พวกครูเสดที่ส่งมาโดยจักรพรรดิยอห์น คอมเนนุส (John Comnenus) พวกนี้ยึดเมืองบุซาอะ (Buzaa) ได้ฆ่าพวกผู้ชายทั้งหมดแล้วกวาดต้อนผู้หญิงและเด็กไปเป็นทาส
แม้ซังกีจะวางแผนการเพื่อยึดนครดามัสคัสอีกในเวลาต่อมา ถึงขั้นกับสมรสกับนางซุมุรรุด มารดาเจ้านคร ด้วยการยกเมืองฮิมสฺเป็นสินสอด และต่อมาเจ้านครก็ถูกลอบสังหาร ซังกีก็ไม่อาจจะยึดเอานครดามัสคัสเป็นของตนได้ เวลาต่อมา นครดามัสคัสก็กลับไปรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพวกครูเสดอีกครั้ง และได้ร่วมกันโจมตีกองทัพของซังกีที่บานิยาส
ซังกีได้ยกทัพเข้าตีนครเอเดสสาที่อยู่ภายใต้พวกครูเสดแตกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1114 จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 2
ซังงีถูกทาสรับใช้ของตน ซึ่งเป็นชาวแฟรงก์ ลอบสังหารเมื่อวันที่ 5 เราะบีอุษษานีย์ 541 ตรงกับวันที่ 14 กันยายน 1146 ซังงีมีบุตร 4 คน ล้วนเป็นคนมีความสามารถทั้งสิ้น ในระหว่างความยุ่งยากนี้พวกคริสต์ในเมืองเอเดสสา คิดกบฏฆ่าทหารมุสลิมที่รักษาเมืองและได้รับความช่วยเหลือจากพวกแฟรงก์ ภายใต้การนำของโยสเซลิน (Joscellin) ยึดเมืองเอเดสสาได้ แต่บุตรสองคนของซังงี ชื่อ นูรุดดีน มะฮฺมูด (ฝรั่งเรียก Noradius) ตีเมืองเอเดสสากลับคืนมาได้ พวกที่ก่อกบฏและทหารแฟรงก์ถูกฆ่า พวกอาร์มิเนียนที่เป็นต้นคิดกบฏถูกเนรเทศ และนูรุดดีนสั่งให้รื้อกำแพงเมือง ผู้คนต่างหนีออกจากเมืองจนเมืองเอเดสสากลายเป็นเมืองร้าง
การสูญเสียเมืองเอเดสสาเป็นครั้งที่ 2 นี้ ได้ก่อให้เกิดการโฆษณาขนานใหญ่ในยุโรป นักบุญเซ็นต์เบอร์นาร์ด (Bernard Clairvaux) ซึ่งฉลาดในการพูดและได้ฉายาว่า ปีเตอร์นักพรตคนที่สอง ได้เที่ยวเทศนาปลุกใจนักรบ ให้ร่วมกันป้องกันสถานกำเนิดแห่งศาสนาคริสต์ เหตุนี้ทำให้พวกคริสเตียนตกใจกลัวยิ่งนักว่า พวกสัลญูกตุรกีจะยกทัพมาตียุโรป และตนจะไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนสถานในปาเลสไตน์อีก การปลุกใจครั้งนี้ไม่เร้าใจแต่เพียงขุนนาง อัศวินและสามัญชน ซึ่งเป็นส่วนในสงครามครูเสดครั้งแรกเท่านั้น พวกกษัตริย์ต่าง ๆ ก็พลอยนิยมไปด้วย พระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสได้ถือเอาสงครามครูเสดเป็นเครื่องเบี่ยงบ่ายการกระทำอันโหดร้าย ต่อพลเมืองบางพวกที่เป็นกบฏต่อพระองค์ กษัตริย์คอนราดที่ 3 แห่งเยอรมันเข้าร่วมทัพด้วย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1147 ข้างพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศส มีพระมเหสีร่วมไปในกองทัพด้วย ชื่ออิเลนอร์ (Eleanor of Guienne มเหสีคนนี้ต่อมาไปสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ของอังกฤษ) การที่ราชินีเข้าร่วมกองทัพด้วยทำให้ผู้หญิงฝรั่งเศสอีกจำนวนมากอาสาเข้ากองทัพครูเสด ซึ่งคราวนั้นมีพลประมาณ 900,000 คน พวกฝรั่งเศสได้กระทำชู้กับหญิงในกองทัพอย่างเปิดเผย กองทัพของสองกษัตริย์ได้รับการต่อต้านและเสียหายอย่างหนัก
ส่วนหนึ่งกองทัพของกษัตริย์คอนราดถูกทำลายที่เมืองลาซิกียะหฺ (ภาษาละติน: Laodicea หรือ Latakia) ส่วนกองทัพของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 ที่ยกมาทางทะเลก็ถูกโจมตียับเยินโดยเฉพาะที่เมืองก็อดมูส (Babadagh ปัจจุบันในตุรกี ภาษาละติน: Cadmus) อย่างไรก็ตามเนื่องจากพวกครูเสดมีกำลังพลมาก จึงเหลือรอดมาถึงเมืองอันติออก ซึ่งเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออก ซึ่งเวลานั้นเรย์มอง ผู้เป็นลุงของราชินีอีเลนอร์ เป็นผู้ปกครองเวลานั้นพวกขุนนางและอัศวินจำนวนมากพักอยู่ในเมืองอันติออกเช่น เคาน์เตสแห่งดูลูส (Countess of blois) เคาน์เตสแห่งรูสสี (Countess of Roussi) ดัชเชสแห่งบุยยอง (Duchess of Bouillon), Sybille แห่งฟแลนเดอร์ส และสตรีของผู้สูงศักดิ์อื่น ๆ อีก แต่จอมราชินีของพวกเขา คือมเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 เมื่อพักผ่อนและสนุกสนานกับพวกผู้หญิงเพียงพอแล้ว พวกครูเสดก็ยกทัพเข้าล้อมเมืองดามัสคัส แต่ไม่สำเร็จ เพราะนูรุดดีน และสัยฟุดดีน อัลฆอซี บุตรทั้งสองของซังกี ได้ยกทัพมาช่วย ทั้งกษัตริย์คอนราดแห่งเยอรมนีและพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสได้เลิกทัพกลับยุโรป พวกครูเสดต้องล่าทัพกลับบ้านเมืองด้วยความผิดหวังและสูญเสียอย่างหนัก
ส่วนพวกครูเสดที่มาจากพวกยุโรปเหนือ ก็ได้เคลื่อนทัพจนถึงโปรตุเกส แล้วได้ร่วมมือกับกษัตริย์อัลฟอนโซ เพื่อโจมตีนครลิสบอน และขับไล่พวกมุสลิมออกจากนครนี้ในปี 1147
กองทัพครูเสดจากเยอรมันได้เข้าไปโจมตีพวกสลาฝที่อยู่รอบอาณาเขตอาณาจักรเยอรมัน

สงครามครูเสดครั้งที่ 3 (1187–1192)

ดูบทความหลักที่ สงครามครูเสดครั้งที่ 3
ศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ ได้ตีเอานครเยรูซาเลมกลับคืนมาเป็นของพวกมุสลิมอีกครั้งในปี 1187
เมื่อศอลาฮุดดีนได้ข่าวพวกแฟรงก์ยกทัพมา จึงประชุมนายทัพโดยให้ความเห็นว่าจะโจมตีพวกนี้ขณะเดินทัพอยู่ แต่พวกนายพลว่าให้ตีเมื่อมาถึงชานเมืองอักกะ (Acre) พวกครูเสดได้ตั้งทัพล้อมเมืองนี้ไว้ และปีกข้างหนึ่งจดทะเล ทำให้สามารถรับเสบียงจากยุโรปได้สะดวก ถ้าศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกนี้ขณะเดินทาง ก็คงไม่ประสบสถาณะคับขันเช่นนี้ พวกตุรกีจากเมืองใกล้ ๆ ก็ยกทัพมาช่วย และในวันที่ 1 ชะอฺบาน 585 (14 กันยายน 1189 ) ศอลาฮุดดีนได้เริ่มโจมตีพวกครูเสด หลานชายของท่านคนหนึ่งชื่อ ตะกียุดดีน ได้แสดงความกล้าหาญมากในการรบ ตอนนี้ทหารศอลาฮุดดีนมีกำลังน้อยกว่าพวกครุเสดมาก เพราะต้องกระจายกำลังป้องกันเมืองหน้าด่านต่าง ๆ เช่นที่ยืนยันเขตแดนติดเมืองตริโปลี, เอเดสสา, อันติออก อเล็กซานเดรีย ฯลฯ ในรอบนอกเมืองอักกานั้น พวกครูเสดถูกฆ่าราว 10,000 คน ได้เกิดโรคระบาดขึ้นเพราะด้วยศพทหารเหล่านี้ เนื่องจากติดพันอยู่การสงคราม ไม่สามารถรักษาที่รบให้สะอาดได้ ศอลาฮุดดีนเองได้รับโรคระบาดนี้ด้วย แพทย์แนะนำให้ถอนทหารและได้ยกทัพไปตั้งมั่นอยู่ที่ อัลคอรรูบะหฺ พวกครูเสดจึงยกทัพเข้าเมืองอักกาและเริ่มขุดคูรอบตัวเมือง
ศอลาฮุดดีนได้มีหนังสือไปยังสุลฎอนของมอร็อคโคให้ยกทัพมาสมทบช่วยแต่พวกนี้ได้ปฏิเสธ ในฤดูใบไม้ผลิศอลาฮุดดีนได้ยกทัพมาโจมตีเมืองอักกาอีก พวกครูเสดได้เสริมกำลังมั่นและสร้างหอคอยหลายแห่ง แต่ทั้งหมดถูกกองทัพศอลาฮุดดีนยิงด้วยด้วยลูกไฟ เกิดไฟไหม้ทำลายหมด ตอนนี้กำลังสมทบจากอียิปต์มาถึงทางเรือและกำลังการรบจากที่อื่นมาด้วย พวกแฟรงก์เสียกำลังการรบทางแก่อียิปต์อย่างยับเยิน พวกครูเสดถูกฆ่าและเสียกำลังทัพมาก แต่ในปลายเดือนกรกฎาคม 1190 เคานต์เฮนรี่แห่งแชมเปญ ผู้มีสายสัมพันธ์กับพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพหนุนมาถึง ศอลาฮุดดีนได้ถอยทัพไปตั้งมั่นที่อัลคอรรูบะหฺอีก ได้ทิ้งกองทหารย่อย ๆ ไว้ ซึ่งได้ต่อสู้พวกครูเสดอย่างกล้าหาญ ตอนนี้พวกครูเสดไม่สามารถคืบหน้าได้ จึงจดหมายไปยังโปีปขอให้จัดทัพหนุนมาช่วย พวกคริสเตียนได้หลั่งไหลกลับมาสมทบพวกครูเสดอีกครั้ง เพราะถือว่าการรบ"พวกนอกศาสนา"ครั้งนี้ทำให้ตนถูกเว้นบาปกรรมทั้งหมดและได้ขึ้นสวรรค์ ศอลาฮุดดีนจัดทัพรับมือพวกนี้อย่างเต็มที่ ให้ลูกชายของตนชื่อ อะลีย์ อุษมาน และฆอซี อยู่กลางทัพ ส่วนปีกทางขวาให้น้องชายชื่อสัยฟุดดีนเป็นแม่ทัพ ทางซ้ายให้เจ้านครต่าง ๆ คุม แต่ในวันประจัญบานกันนั้นตัวศอลาฮุดดีนเองป่วย จึงได้เฝ้าดูการสุ้รบจากยอดเขาแห่งหนึ่ง พวกครูเสดถูกตีฟ่ายตกทะเลได้รับความเสียหายอย่างหนัก พวกนี้เริ่มขาดแคลนอาหารและโดยที่ฤดูหนาวย่างเข้ามา จึงพักการรบ
เมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ คือเดือนเมษายน 1191 พวกครูเสดได้รับทัพหนุนเพิ่มขึ้นอีก โดยพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสได้ยกทัพมา พร้อมกันนั้นพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษก็ยกทัพมาอีกด้วย มีเรือรบมา 20 ลำ เต็มไปด้วยทหารและกระสุน กำลังหนุนของศอลาฮุดดีนมาไม่พร้อม ทหารมุสลิมในเมืองอักกามีกำลังน้อยกว่าจึงขอยอมแพ้พวกครุเสด โดยแม่ทัพมุสลิมมีนคนหนึ่งชื่อ มัชตูบ ผู้คุมกำลังป้องกันอักกาได้อุทรต่อพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแต่ถูกปฏิเสธเว้นแต่ พวกมุสลิมจะยอมยกเมืองเยรูซาเลมให้ พวกมุสลิมจึงกลับสู้รบอีกจนสุดชีวิต ขณะการล้อมเมืองและการสู้รบอยู่เป็นเช่นนี้ได้เกิดโรคระบาดเกิดขึ้น ในที่สุดมีเงื่อนไขว่า พวกมุสลิมจะต้องคืนไม้กางเขน(ดั้งเดิมสมัยพระเยซู) และต้องเสียค่าปรับเป็นทอง 200,000 แท่ง แต่เนื่องจากต้องเสียเวลาหาทองจำนวนเท่านี้ กษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์แห่งอังกฤษ ผู้ที่นักประวัติศาสตร์เคยยกย่องและชื่นชมกันนั้นได้จับทหารมุสลิมจำนวน 27,000 คน ออกจากเมืองและสับต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย เมืองอักกาตกอยู่ในมือพวกครูเสดที่บ้าศาสนาเหล่านี้ ส่วนทัพศอลาฮุดดีนต้องถอยทัพไปตั้งที่อื่นเพราะกำลังน้อยกว่าและกำลังหนุนไม่มีพอ ตอนหนึ่งมีเรือจากอียิปต์ลำเลียงเสบียงมาช่วย แต่เกือบถูกครูเสดยึดได้ นายเรือจึงสั่งให้จมเรือพร้อมทั้งคนในเรือทั้งหมด
กองทัพครูเสดภายใต้การนำของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ได้บุกไปยังอัสก็อลาน (ภาษาละติน: Ascolon) ศอลาฮุดดีนได้ยกกองทัพไปยันไว้ได้มีการรบกันอย่างกล้าหาญถึง 11 ครั้ง ในการรบที่อัรสูฟ ศอลาฮุดดีนเสียทหารราว 8,000 คน ซึ่งเป็นทหารชั้นดีและพวกกล้าตาย เมื่อเห็นว่าอ่อนกำลังป้องกันปาเลสไตน์ไม่ได้ จึงยกทัพไปยังอัสก็ออลาน อพยพผู้คนออกหมดแล้วรื้ออาคารทิ้ง เมื่อพระเจ้าริชาร์ดมาถึง ก็เห็นแต่เมืองร้าง จึงทำสัญญาสงบศึกด้วย โดยได้ส่งทหารไปพบน้องชายศอลาฮุดดีนชื่อ สัยฟุดดีน (ภาษาละติน: Saphadin) ทั้งสองได้พบกัน ลูกของเจ้านครครูเสดคนหนึ่งเป็นล่าม พระเจ้าริชาร์ดจึงให้บอกความประสงค์ที่อยากให้ทำสัญญาสงบศึก พร้อมทั้งบอกเงื่อนไขด้วย ซึ่งเป็นเงือนไขที่ฝ่ายมุสลิมยอมรับไม่ได้ การพบกันครั้งนั้นไม่ได้ผล
ฝ่ายมาร์ควิสแห่งมองเฟอร์รัดผู้ร่วมมาในกองทัพด้วยเห็นว่าการทำสัญญาโอ้เอ้ จึงส่งสารถึงศอลาฮุดดีน โดยระบุเงื่อนไขบางอย่าง แต่สัญญานี้ไม่เป็นผลเช่นกัน ต่อมาพระเจ้าริชาร์ดขอพบศอลาฮุดดีนและเจรจาเรื่องสัญญาสงบศึกอีก โดยเสนอเงื่อนไขว่า พวกครูเสดต้องมีสิทธิครอบครองเมืองต่าง ๆ ที่ได้ตีไว้ และฝ่ายมุสลิมต้องคืนเยรูซาเลมให้พวกครูเสด พร้อมกับไม้กางเขนที่ทำด้วยไม้ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นไม้ที่พระเยซูถูกพวกยิวตรึงทรมานด้วย ศอลาฮุดดีนปฏิเสธที่จะยกเมืองเยรูซาเลมให้พวกครูเสด แต่ยอมในเรื่องให้เอาไม้กางเขนที่กล่าวในเงื่อนไขที่ว่า พวกครูเสดต้องปฏิบัติตามสัญญาของตนอย่างเคร่งครัด การเจรจานี้ก็ไม่เป็นผลอีกเช่นกัน พระเจ้าริชาร์ดจึงหันไปเจรจากับสัยฟุดดีนใหม่โดยให้ความเห็นว่าการเจรจานี้ จะเป็นผลบังคับเมื่อศอลาฮุดดีนยินยอมด้วยในปั้นปลาย เงื่อนไขมีว่า
  1. กษัตริย์ริชาร์ดยินดียกน้องสาวของเขาผู้เป็นแม่หม้าย(แต่เดิมเป็นมเหสีของกษัตริย์ครองเกาะสิซิลี)ให้แก่สัยฟุดดีน(น้องชายศอลาฮุดดีน)
  2. ของหมั้นในการสมรสนี้คือ กษัตริย์ริชาร์ดจะยกเมืองทั้งหมดที่พระองค์ตีได้ ตามชายทะเลให้น้องสาวของตน และศอลาฮุดดีนก็ต้องยกเมืองต่าง ๆ ที่ยึดได้ให้ น้องชายเป็นการทำขวัญเช่นกัน
  3. ให้ถือเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองกลาง ยกให้แก่คู่บ่าวสาวนี้ และศาสนิกของทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์ที่จะใปมาพำนัก อยู่ในเมืองนี้อย่างเสรี บ้านเมืองและอาคารทางศาสนาที่ปรักหังพัง ต่างช่วยกันซ่อมแซม
ศอลาฮุดดีนยอมตามเงื่อนไขนี้ แต่สัญญาก็ไม่เป็นผลอีก เพราะพวกพระในศาสนาคริสต์ไม่ยอมให้พวกคริสเตียนยกลูกสาว, น้องสาว หรือผู้หญิงฝ่ายตนไปแต่งงานกับมุสลิมผู้ที่พวกเขาถือว่าเป็น“พวกนอกศาสนา” พวกบาทหลวงได้ชุมนุมกันที่จะขับพระเจ้าริชาร์ดออกจากศาสนาคริสต์ให้ตกเป็นคน นอกศาสนาไปด้วย และได้ขู่เข็ญน้องสาวของพระองค์ต่าง ๆ นานา
กษัตริย์ริชาร์ดจึงได้เข้าพบสัยฟุดดีนอีก ขอให้เปลี่ยนจากการนับถืออิสลามมาเป็นคริสเตียน แต่สัยฟุดดีนปฏิเสธ ในขณะเดียวกันกษัตริย์ริชาร์ดเกิดการรำคาญการแทรกแซงของมาร์ควิสแห่งมอง เฟอรัด จึงจ้างให้ชาวพื้นเมืองลอบฆ่า เมื่อเรื่องมาถึงเช่นนี้ กษัตริย์ริชาร์ดก็ท้อใจอยากยกทัพกลับบ้าน เพราะตีเอาเยรูซาเลมไม่ได้ ได้เสนอเงื่อนไขที่จะทำสัญญาสงบศึกกับศอลาฮุดดีนไม่ยอมต่อเงื่อนไขบางข้อ เพราะบางเมืองที่กล่าวนั้นมีความสำคัญต่อการป้องกันอาณาจักรอย่างยิ่ง ไม่สามารถปล่อยให้หลุดมือไปได้ แต่ความพยายามของนักรบทั้งสองนี้ยังคงมีต่อไป จนในที่สุดเมื่อวันที่ 22 ชะอฺบาน 588 (2 กันยายน 1192) ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาสงบศึกเป็นการถาวรและกษัตริย์ริชาร์ดได้ยกทัพกลับบ้านเมือง เขายกทัพผ่านทางตะวันออกของยุโรปโดยปลอมตัว แต่กลับถูกพวกเป็นคริสเตียนจับไว้ได้คุมขังไว้ ทางอังกฤษต้องส่งเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัวเขา
สงครามครูเสดครั้งที่ 3 ก็ยุติลงเพียงนี้ ด้วการสูญเสียชีวิตมนุษย์นับแสน ผู้คนนับล้านไร้ที่อยู่ บ้านเมืองถูกทำลาย หลังจากนั้นศอลาฮุดดีนได้ยกทหารกองเล็ก ๆ ไปตรวจตามเมืองชายฝั่ง และซ่อมแซมสถานที่ต่าง ๆ และได้กลับมาพักที่ดามัสคัสพร้อมครอบครัว จนกระทั่งถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 27 ศอฟัร 589 (4 มีนาคม 1193) มีอายุเพียง 55 ปี

ศอลาฮุดดีน (ซาลาดิน)


ภาพวาดซาลาดินจากหนังสืออาหรับในศตวรรษที่ 12
สุลต่าน ศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบีย์ เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่ในระหว่างสงครามครูเสด (สุลต่าน คือกษัตริย์ของชาวมุสลิมซึ่งใช้ ชะรีอะหฺ (กฎหมายอิสลาม)ในการปกครองประเทศ ชาวยุโรปและอเมริกาก็เรียกเขาว่า ซาลาดิน ส่วนชาวมุสลิมยกย่องให้เขาเป็นวีรบุรุษ
มีหนังสือหลายเล่มเขียนเกี่ยวกับศอลาฮุดดีนผู้นี้ โดยเล่าถึงวีรกรรมและชัยชนะในสงคราม เช่นหนังสือชื่อ Daastaan Imaan Farooshoon Ki ซึ่งเขียนเป็นภาษาอูรดูโดยอัลทามาชซึ่งยกย่องศอลาฮุดดีนไว้มากมายในหนังสือเล่มดังกล่าว





วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555






ประวัติสงคราม บะดัร ในยุคสมัยศาสดามูฮัมหมัด (ศอล)
และผังที่้เกิดส่งคราม

          ประมาณ5ปีแรกหลังจากการฮิจญ์เราะห์ ชาวกุเรชได้นำกองทหารเข้าสู่นครมะดีนะฮ์ โดยมีความมุ่งหวังจะทำลายรัฐอิสลามให้ราบคาบลง ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันหลายครั้งด้วยกัน ซึ่งจะนำเสนอโดยสรุปที่สำคัญๆ ได้แก่  สงครามบะดัร  สงครามอุฮุด  และสงครามอัลอะฮฺซ๊าบ ฯลฯ
          สงครามบะดัร เป็นสงครามแรกที่จำแนกระหว่างบรรดามุสลิมกับบรรดามุชริก ซึ่งจากสาเหตุของสงคราม ตลอดจนขั้นตอน ทำให้ทราบได้ว่า แท้จริง อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีพระประสงค์ที่จะขจัดความอ่อนแอของบรรดามุสลิมที่ดำเนินวิถีชีวิตตามรูปแบบในมักกะฮ์ และพวกมุชริกได้กระทำต่อชาวมุสลิมอย่างทารุณโหดเหี้ยม เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เป็นบทเรียนอันเจ็บปวดแก่บรรดาชาวกุเรช ตลอดจนการสลายอำนาจของพวกเขา และให้เป็นบทเรียนแก่คนทั่วไปว่า พลังที่แท้จริงนั้น คือพลังแห่งศรัทธา  แท้จริงแล้ว อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงช่วยเหลือคุ้มครองท่านนะบี รวมถึงศาสนาของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน 
          หลังจากที่ท่านเราะซูล ได้จัดระบบภายในของเมืองมะดีนะฮ์เรียบร้อยแล้ว จึงหันมาเพื่อทำการตอบโต้พวกกุเรชบ้าง และทวงสิ่งที่ถูกยึดจากบรรดาผู้อพยพกลับคืน ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินและที่พักอาศัย
          โอกาสได้มาถึง ในขณะที่ท่านทราบว่ากองคาราวานสินค้าของชาวกุเรชได้ออกมุ่งหน้าไปยังเมืองชาม ท่านจึงรอคอยกองคาราวานที่บรรทุกสินค้าต่างๆที่กำลังเดินทางกลับมา ครั้นเมื่อกองคาราวานมาถึงท่านจึงออกไปพร้อมกับบรรดาศอฮาบะฮ์ที่มีความสามารถ เพื่อกั้นขวางกองคาราวานนั้นอย่างรวดเร็ว ท่านนะบี ได้กล่าวว่า :
         
          (( فَمَنْ كَانَ ظَهْرُهُ حَاضِرًا فَلْيَرْكَبْ مَعَنَا ))           
          “ใครที่มีพาหนะพร้อม ก็ให้รีบออกไปกับเราทันที” (*1*)
          ท่านเราะซูล ได้ออกไปพร้อมกับศอฮาบะฮ์เพื่อสกัดกองคาราวานนั้น แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีพระประสงค์อื่น กองคารวานจึงได้หลุดรอดไป ผู้นำกองคารวานคือ อบูซุฟยาน ได้ส่งคนมาตรวจเส้นทางและรู้ว่าบรรดามุสลิมได้ออกมาสกัดกั้นเส้นทางนั้น เขาจึงหลบเลี่ยงเปลี่ยนไปเส้นทางอื่นด้านชายฝั่งทะเลแดงแทน พร้อมทั้งส่งคนไปบอกพวกกุเรช ให้ออกมาอารักขากองคาราวานสินค้าของพวกเขา จึงได้มีชาวกุเรชพากันออกมาเป็นจำนวนมากมีประมาณ 1300 นาย และหลังจากที่ได้ทราบข่าวการรอดพ้นของกองคาราวาน บางกลุ่มจึงเห็นว่าสมควรกลับสู่มักกะฮ์ แต่ อบูญะฮัล ได้หลงตนเองจึงคิดแผนการออกอุบาย แล้วเขาจึงพูดว่า :
          “เรายังจะไม่กลับเข้ามักกะฮ์ จนกว่าเราจะได้ไปที่บะดัรเสียก่อน ไปอยู่สักสามวัน เราจะเชือดอูฐหนุ่มและกินดื่มสุราเลี้ยงฉลอง มีทั้งนักร้องนักเต้นให้เราได้ชม เพื่อว่าชาวอาหรับจะได้กล่าวขวัญถึงชื่อเสียงและความเป็นอยู่ของพวกเราอย่างยิ่งใหญ่ และพวกเขาจะได้มีความเกรงกลัวพวกเราตลอดไป”
          มีคนจำนวนมากหลงเชื่อ ส่วนที่กลับมักกะฮ์มีประมาณ 300 นาย อบูญะฮัลได้พาพรรคพวกเดินทางไปจนไปถึงแหล่งน้ำที่บะดัร กองคาราวานของกุเรชได้ผ่านพ้นไปแล้ว และมีจำนวนมากของกุเรชได้มุ่งหน้าสู่บะดัรเพื่อเป็นการแสดงพลังของพวกตนเพื่อข่มขู่บรรดามุสลิม ท่านนะบีมุฮัมหมัด จึงมีคำสั่งสำหรับสถานการณ์นี้ ท่านได้เรียกบรรดาศอฮาบะฮ์มาร่วมประชุมหารือกันในการที่จะต้องไปประจัญหน้ากับพวกกุเรชและทำการสู้รบ บรรดาผู้อาวุโสของมุฮาญิรีนจึงได้กล่าวสนับสนุนให้ออกไปต่อสู้และใช้คำพูดเพื่อปลุกเร้าทำให้เกิดความจูงใจ ท่านเราะซูล จึงกล่าวชมเชยและขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขา และให้คนทั้งหลายเสนอความคิดเห็นอีก โดยท่านต้องการทราบท่าทีของชาวอันศ็อร เพราะพวกเขามีจำนวนมากกว่า และการทำสัตยาบันที่ “อะกอบะฮ์” ครั้งที่ 2 นั้น มิได้ระบุให้พวกเขาต้องออกทำสงครามพร้อมกับท่านที่นอกเมืองมะดีนะฮ์ แต่ชาวอันศ็อรมีความเข้าใจดีถึงเจตนาของท่านนะบี ผู้ที่ถือธงนำทัพมีชื่อว่า : สะอด์ บิน มุอ๊าซ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ จึงได้พูดว่า :-
 واللهِ لَكَأَنَّكَ تُرِيْدُنَا يَا رَسُوْلَ الله ؟ قَالَ : أَجَل . فَقَالَ سَعْد : فَقَدْ آمَنَّا بِكَ وَ صَدَّقْنَاكَ ، وَشَهِدْنَا أَنَّ مَا جِئْتَ بِهِ هُوَ الْحَقُّ ، وَأَعْطيْنَاكَ عَلىَ ذلِكَ عُهُوْدَنَا وَمَوَاثِيْقَنَا عَلىَ السَّمْعِ وَالطَّاعَةِ ، فَامْضِ يَا رَسُوْلَ الله لِمَا أَرَدْتَ ، فَوَالَّذيْ بَعَثَكَ بِالحَقِّ لَوْ اسْتَعْرَضْتَ بِنَا هذا البَحْرَ فَخُضْتَهُ لَخُضْنَاهُ مَعَكَ مَا تَخَلَّفَ مِنَّا رَجُلٌ وَاحِدٌ ، وَمَا نَكْرَهُ أَنْ تَلْقىَ بِنَا عَدُوُّنَا غَدًا ، إِنَّا لَصُبُرٌ فِي الحَرْبِ ، صُدُقٌ عِنْد َ اللِّقَاءِ ، وَلَعَلَّ اللهَ يُرِيْكَ مَا تَقِرُّ بِهِ عينُكَ ، فَسِرْ بشنَا علىَ بَرَكَةِ اللهِ
 فَسُرَّ بِذلِكَ رَسُوْلُ الله صلى الله عليه وسلم فَقَالَ :  سِيْرُوْا وَأَبْشِرُوْا
 
          ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ครับ  ดูเหมือนว่าท่านหมายถึงพวกเรา
ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จึงตอบว่า : ใช่แล้ว
ดังนั้น สะอด์จึงพูดต่อไปว่า : แน่นอน พวกเราได้มีศรัธาต่อท่าน เชื่อตามท่านและเราได้ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ท่านนำมานั้นเป็นเรื่องจริง แล้วเราได้ให้คำมั่นสัญญาในการเชื่อฟังท่าน ดังนั้นขอท่านจงออกไปสู้เถิด ท่านเราะซูล ของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตามความประสงค์ของท่าน ฉันขอสาบานด้วยผู้ซึ่งที่ได้ส่งท่านมาพร้อมกับความจริง หากท่านนำพาพวกเราไปสู่ท้องทะเล แล้วท่านข้ามไป แน่นอนพวกเราก็จะข้ามไปพร้อมกับท่าน จะไม่มีใครจากพวกเราขาดหายไปแม้เพียงสักคนเดียว แล้วเราไม่รังเกียจต่อการที่พวกเราจะไปเผชิญหน้ากับศัตรูของพวกเราในวันพรุ่งนี้ พวกเราอดทนอย่างแน่นอน ในสภาวะสงครามที่เต็มไปด้วยความจริงใจในขณะประจัญบานและหวังว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะให้ท่านได้เห็นสิ่งที่ตาทั้งสองของท่านจะมีความสุข ดังนั้น ท่านจงพาเราไปด้วยกับความจำเริญของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เถิด
ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ มีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำพูดนั้น แล้วท่านได้พูดว่า : พวกท่าน จงออกไปพร้อมกับข่าวดีได้เลย

การสู้รบในสงครามบะดัร

          บรรดามุสลิมได้ออกไปประจัญหน้ากับพวกมุชริกีนที แหล่งน้ำบะดัร และเพื่อว่าอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงให้มีการสู้รบเกิดขึ้น พระองค์ทรงทำให้บรรดามุสลิมมองเห็นจำนวนของมุชริกีนมีจำนวนเพียงเล็กน้อย และทำให้ในสายตาพวกมุชริกีนมองเห็นบรรดามุสลิมีนมีจำนวนมาก
พระองค์ ทรงตรัสไว้ว่า :
         “และจงรำลึกขณะที่พระองค์ให้พวกเจ้าเห็นพวกเขามีจำนวนน้อยในสายตาของพวกเจ้าขณะที่พวกเจ้าเผชิญหน้ากัน และทรงให้พวกเจ้ามีจำนวนมากในสายตาของพวกเขา เพื่อที่อัลลอฮ์ จะทรงให้งานหนึ่งเสร็จสิ้นไป ซึ่งงานนั้นได้ถูกกระทำไว้แล้ว และยังอัลลอฮ์นั้น กิจการทั้งหลายจะถูกนำกลับไป”  (อัลอันฟาล 8:44)
          การสู้รบได้เริ่มขึ้นโดยการดวลดาบกันของแต่ละฝ่าย แล้วได้จบสิ้นลงด้วยชัยชนะของฝ่ายมุสลิม ต่อมาการสู้รบอันรุนแรงได้ปะทุขึ้นอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้พวกมุชริกีนได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก พวกเขาถูกสังหารไปถึง 70 ศพ ในจำนวนนั้นมีระดับหัวหน้ารวมอยู่ด้วย ได้แก่ อบูญะฮัล และถูกจับเป็นเชลยอีก 70 คน ส่วนบรรดามุสลิมีนได้เสียชีวิตในสงคราม (ชะฮีด) จำนวน 14 ท่านเท่านั้น
ชัยชนะในสงครามบะดัร
          ผลของการทำสงครามที่บะดัรทำให้ชาวกุเรช รวมถึงเผ่าต่างๆที่เป็นมุชริกต้องเสียขวัญ และเป็นความแปลกประหลาดที่พวกวัตถุนิยมที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้ แต่นี่เป็นสิ่งยืนยันแล้วแก่บรรดาผู้ยอมรับแนวทางแห่งพระเจ้าในจักรวาล สาเหตุที่ชัดเจนแห่งชัยชนะของบรรดามุสลิมมีดังนี้ ;
          1. ความพอใจในสิ่งตัวเองที่มีอยู่  ท่านเราะซูล ได้ใช้อาวุธที่สำคัญยิ่ง คือการฝึกเหล่าซอฮาบะฮ์ให้มีความพอใจในสิ่งตัวเองมีในการสู้รบกับฝ่ายศัตรู ซึ่งจะชดเชยกับกำลังพลของฝ่ายมุสลิมีนที่มีน้อยกว่า และกำลังใจได้ตั้งมั่นอยู่บนความปรารถนาในสิ่งที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้แก่บรรดานักต่อสู้ด้วยกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ จะเห็นตัวอย่างจาก เรื่องราวของ อุมัยร์ บิน อัลฮัมมาม รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ในขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ปลุกเร้าให้บรรดาซอฮาบะฮ์ ทำการต่อสู้โดยท่านกล่าวว่า :
 قُوْمُوْا إِلىَ جَنَّةٍ أَرْضُهَا السَمَاوَاتُ والأَرْضِ 
فَقَالَ عُمَيّرمُتَعَجِّبًا : يَارَسُوْلَ الله ، أَجَنَّةٌ عَرْضُهَا السَمَاوَاتُ والأَرْضِ ؟
قَالَ : نَعَمْ  فَأَخْرَجَ تَمْرَاتٍ كَانَتْ مَعَهُ وَأَكَلَ مِنْهَا
 ثُمَّ قَالَ : لَئِنْ أَنَا حُيِّيْتُ حَتىَ آكُلَ تَمَرَاتِي هذه إِنَّهَا لَحيَاةٌ طَوِيْلَة ، فَرَمىَ مَا تَبْقىَ مَعَهُ ثُمَّ قَاتَلَ حَتَّى قُتِلَ
          “พวกท่านทั้งหลายจงไปสู่สวรรค์กันเถิด ซึ่งความกว้างใหญ่ไพศาลของสวรรค์นั้นดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนดิน” 
อุมัยร์ จึงได้พูดด้วยความปีติยินดีว่า : “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮ์ สวรรค์ที่มีความกว้างดั่งบรรดาชั้นฟ้าและผืนแผ่นดินกระนั้นหรือ?!”          
ท่านตอบว่า : “ใช่แล้ว”
แล้วเขาได้เอาผลอินทผลัมหลายผลที่ติดตัวอยู่ออกมาและรับประทานไปบ้าง หลังจากนั้นเขากล่าวว่า : “แน่นอน หากฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกินอินทผลัมนี้หมด มันช่างเป็นชีวิตที่ยาวนานมาก”
แล้วเขาได้ขว้างผลอินทผลัมที่เหลือทิ้งไปและทำการสู้รบจนเขาถูกสังหารในที่สุด (*2*)
          2. การขอดุอาอฺ  ท่านเราะซูล  ได้ใช้อาวุธอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นผลให้ได้รับชัยชนะ คือ การขอดุอาอ์ ซึ่งในดุอาอ์นั้นจะนำมาซึ่งชัยชนะจากผู้ที่ให้ชัยชนะ
ดังคำตรัสของพระองค์ที่ ว่า :
          “หากว่าอัลลอฮ์ ทรงช่วยเหลือพวกเจ้า ก็จะไม่มีผู้ใดชนะพวกเจ้าได้ และหากพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเจ้าแล้ว ก็ผู้ใดเล่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าได้หลังจากพระองค์ และแด่อัลลอฮ์นั้น ผู้ศรัทธาทั้งหลายจงมอบหมายเถิด ”  (อาละอิมรอน 3  160)
          ท่านนะบี ได้ลุกขึ้นในยามค่ำคืนของสงคราม ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายกำลังนอนหลับสนิท ท่านได้เฝ้าขอดุอาอ์ต่อพระเจ้าของท่านด้วยการวิงวอนต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ และเป็นอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งรุ่งเช้า ท่านอบูบักร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ รู้สึกสงสาร เห็นใจท่าน และกล่าวกับท่านนะบี ว่า :
          (( يَا رَسُوْلَ الله  : كَفَاكَ مُنَاشَدَتُكَ رَبَّكَ فَإِنَّهُ سَيُنْجِزُ لَكَ مَا وَعَدَكَ ))
          “โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านพอได้แล้วจากการขอต่อพระผู้อภิบาลของท่าน แท้จริง พระองค์จะทรงประทานให้กับท่านตามที่พระองค์ได้ทรงให้สัญญาไว้”  (*3*)
          3.การเข้าร่วมรบของบรรดามลาอิกะฮ์ อีกสาเหตุหนึ่งแห่งชัยชนะของบรรดาผู้ศรัทธาได้แก่ อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงส่งบรรดามลาอิกะฮ์มาเป็นกำลังเสริม ทำให้หัวใจของพวกเขามั่นคง เหล่ามลาอิกะฮ์ได้สู้รบกับศัตรูพร้อมกับพวกเขาด้วย ดังมีหลักฐานจากอัลกุรอานได้บ่งชี้ไว้ ตลอดจนมีหะดีษที่ซอเฮี๊ยะที่ระบุว่า บรรดามลาอิกะฮ์มาร่วมรบพร้อมกับบรรดาผู้ศรัทธา(*4*) สงครามบะดัรจบลงตามเป้าหมายที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประสงค์
ดังคำตรัสของพระองค์ ว่า :
           และจงรำลึกขณะที่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้า ซึ่งหนึ่งในสองกลุ่มว่ามันเป็นของพวกเจ้าและพวกเจ้าชอบที่จะให้กลุ่มที่ไม่มีกำลังอาวุธนั้นเป็นของพวกเจ้า แต่อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงต้องการให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดขึ้นด้วยพจนารถของพระองค์ และจะทรงตัดขาดซึ่งคนสุดท้ายของผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
          เพื่อพระองค์จะทรงให้สิ่งที่เป็นจริงได้เป็นที่ประจักษ์ และให้สิ่งเท็จได้เป็นที่ประจักษ์ชัดและแม้ว่าบรรดาอาชญากรผู้กระทำความผิดจะเกลียดชังไม่พอใจก็ตาม”  
           (อัล อันฟาล 8 : 7-8)
 


วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555